ข้อมูลคำแนะนำบทวิเคราะห์ การคาดหมาย ความเห็นและ/หรือบทสรุป และการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้จัดทำโดยอาศัยข้อมูลมาจากแหล่งที่ธนาคารเชื่อหรือ ควรเชื่อว่ามีความน่าเชื่อถือและ/หรือถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ธนาคารมิได้ให้คำยืนยันและไม่รับรองหรือรับประกันถึงความครบถ้วน สมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลดังกล่าวและรายละเอียด ที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้แต่อย่างใด ธนาคารตลอดจนบริษัทในเครือและบุคคลอื่นใดที่เกี่ยวข้อง (ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง กรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน หรือบุคลากรอื่นใด) จึงไม่รับผิดชอบ และไม่มีความรับผิดใด ๆ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมต่อการนำเอาข้อมูล คำแนะนำ บทวิเคราะห์ การคาดหมาย ความเห็นและ/หรือบทสรุปที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ไปใช้ไม่ว่ากรณีใด ๆ โดยที่ ผู้ที่ประสงค์จะนำข้อมูลและรายงานฉบับนี้ไปใช้ต้องยอมรับความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นโดยล าพังด้วยตนเองนอกจากนี้ทั้งนี้ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการแก้ไขเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลง รายงานฉบับนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนโดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า แต่ธนาคารมิได้มีหน้าที่ใด ๆ ในการต้องแก้ไขเพิ่มเติมหรือปรับปรุงรายงานฉบับนี้ เมื่อข้อมูลหรือรายละเอียดใด ๆ ที่ ระบุในรายงานฉบับนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าด้วยเหตุใด ตลอดจนไม่มีหน้าที่ต้องตรวจสอบว่าข้อมูลหรือรายละเอียดที่ปรากฏในรายฉบับนี้เป็นปัจจุบันหรือมีความถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ของข้อมูล คำแนะนำ บทวิเคราะห์การคาดหมาย ความเห็นและ/หรือบทสรุปใด ๆ ที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้โดยห้ามมิให้ผู้ใดเผยแพร่ ตีพิมพ์ทำซ้ำ ลอกเลียนแบบ อ้างอิง แก้ไข ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือใช้วิธีการใดๆ ก็ตาม เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากธนาคารก่อน ธนาคารตลอดจนบริษัทในเครือและบุคคลอื่นใดที่เกี่ยวข้อง กรรมการ ผู้บริหาร รวมถึงพนักงาน ขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่รับผิดชอบและไม่มีความรับผิดใด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการด าเนินงานในอดีต/ ผลการด าเนินงานของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการด าเนินงานในอนาคต การลงทุนในหน่วยลงทุนไม่ใช่การฝากเงิน จึงมีความเสี่ยงจากการลงทุน ซึ่งผู้ลงทุนอาจได้รับเงินลงทุนอาจได้รับเงินลงทุนคืนมากกว่าหรือน้อยกว่าเงินลงทุนแรกเริ่มได้
01 Jun 2024
อัปเดตภาวะตลาดการเงิน และกลยุทธ์การลงทุนประจำเดือน
การเติบโตของเศรษฐกิจโลกยังคงมีความยืดหยุ่น และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนยังคงแข็งแกร่ง
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้มีการปรับการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2024 และ 2025 ขึ้นโดยขาดว่าจะขยายตัว 3.2% โดยการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2024 ถูกปรับเพิ่มขึ้น 30 จุดจากการคาดการณ์ในเดือนตุลาคม อย่างไรก็ตาม การเติบโตดังกล่าวยังคงต่ำกว่าการเติบโตเฉลี่ย ปี 2000-2019 ที่ 3.8% ตอกย้ำถึงผลกระทบจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดและแรงกระตุ้นจากนโยบายการคลังที่เบาบางลงรวมถึงการเติบโตของผลิตภาพ (productivity) เศรษฐกิจที่ต่ำ สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว คาดการณ์การเติบโตเพิ่มขึ้นจาก 1.6% ในปี 2023 เป็น 1.7% ในปี 2024 และ 1.8% ในปี 2025 โดยคาดการณ์การเติบโตปี 2024 ถูกปรับเพิ่มขึ้น 20 จุด สำหรับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และกำลังพัฒนา คาดการณ์เศรษฐกิจเติบโตแบบทรงตัวที่ 4.2% ทั้งในปี 2024 และ 2025 และคาดว่าตลาดเกิดใหม่ในฝั่งเอเชียจะโตช้าลง โดยปัจจัยเช่น ประเด็นความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์และความสามารถของธนาคารทั่วโลกที่จะพาเศรษฐกิจ “soft landing” เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของ GDP โลกในปีนี้
รายงานยอดค้าปลีกของสหรัฐ ฯ ซบเซาลงในเดือนเมษายน โดยการเติบโตเป็นศูนย์ หลังจากเติบโต 0.6% MOM ในเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตาม IMF ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐ ฯ เป็น 2.7% ในปีนี้ เพิ่มขึ้น 60 จุดจากการคาดการณ์ครั้งก่อน อัตราเงินเฟ้อที่ยังค้างสูงและข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ทำให้ตลาดไม่มั่นใจกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ FED ว่าจะมีการปรับดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้หรือไม่ ด้านยุโรปยังคงดำเนินนโยบายการเงินเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อต่อเนื่อง ตามรายงานของ Eurostat อัตราเงินเฟ้อยุโรปในเดือนมีเมษายนทรงตัวอยู่ที่ 2.4% YoY คาดว่า ECB จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายน และจะดำเนินนโยบาย QT ในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 เช่นเดียวกันกับตัวเลข CPI ของอังกฤษที่เพิ่มขึ้นเพียง 2.3%YoY ในเดือนเมษายน ลดลงจาก 3.2% YoY ในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2021 ด้านญี่ปุ่น GDP ไตรมาส 4 ปี 2023 ขยายตัว 0.4% จาก -0.4% แต่หดตัว -2% ในไตรมาส 1 ปี 2024 จากการบริโภคที่ลดลง ขณะที่ GDP ของจีน ขยายตัว 5.3%YoY ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2024 โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมจีนเติบโต 6.1%YoY ไตรมาส 1 ปี 2024 จากการเติบโตที่แข็งแกร่งของการผลิตในอุตสาหกรรม High-Tech ขณะที่ IMF คาดเศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตแซงหน้าญี่ปุ่นได้ในปี 2025 ทำให้อินเดียกลายเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ขณะที่ธนาคารกลางอินเดียคาดการณ์ว่า real GDP จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 7% ในปี 2024
หุ้นโลก: ฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2024 ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว 96% ของหุ้นในดัชนี S&P500 ถูกประกาศผลประกอบการออกมาโดยกำไรตอบโต 6% YoY แม้จะมีความกังวลของอัตราการเติบโตของหุ้นสหรัฐ ฯ ทำให้ ไตรมาสที่ 1 ปี 2024 เป็นไตรมาสที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2022
AI ยังคงเป็นกระแสหลักที่หลายบริษัทพูดถึง โดยในการประกาศผลประกอบการครั้งนี้มี 199 บริษัทในดัชนี S&P500 มีการพูดถึง AI ขณะที่ค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมามีเพียงจำนวน 80 บริษัทเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น 78% รายงานกำไรต่อหุ้นสูงกว่าประมาณการ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีเช่นเดียวกัน ท่างกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ฯ ตลาดเห็นการเติบโตของผลตอบแทนใน S&P500 อย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 2024 โดยประมาณการการเติบโตได้ที่ 11%
ในส่วนของ P/E ของ S&P500 ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 24.7 เท่า แม้จะสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่ 21 เท่า แต่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ระดับ P/E ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตต่อไปได้. ในทำนองเดียวกัน NASDAQ100 มี P/E อยู่ที่ 34 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 27.1 เท่า ผลประกอบการของ หุ้น 7 นางฟ้าหรือ Mag-7 ออกมาค่อนข้างแตกต่างกัน โดย Meta Platforms, Alphabet และ Amazon.com ทำผลประกอบการได้ดีกว่าที่คาด โดยรายได้เติบโต 27% 15% และ 13% ตามลำดับ ส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 34% 25% และ 21% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน อย่างก็ตาม มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดกระจุกตัวอยู่ในหุ้นสหรัฐ ฯ ที่ใหญ่ที่สุด โดยมีน้ำหนักถึง 33% นักลงทุนจึงต้องระมัดระวัง ซึ่งการกระจุกตัวดังกล่าวยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนสมมติฐานเกี่ยวกับการฟื้นตัวของราคาหุ้นที่จะกระจายเป็นวงกว้าวมากขึ้น และมีโอกาสที่จะส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ และหุ้นกลุ่มอื่น ๆ แคบลงในปีนี้ รวมถึงในระยะถัดไป
NIKKEI 225 ได้รับแรงกดดันจากการถูกเทขายของบริษัทผู้ผลิตชิป อย่าง Tokyo Electron, Renesas และ Advantest อย่างไรก็ตามคู่แข่งในสหรัฐ ฯ อย่าง NVIDIA รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งส่งผลให้บริษัทชิปในญี่ปุ่นได้รับผลบวกไปด้วย ในขณะที่หุ้นอินเดียมีการซื้อขายลดลงท่ามกลางการเลือกตั้งที่กำลังเกิดขึ้น โดยการเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มีสิทธิเลือกเกือบ 1 พันล้านคน และมีระยะเวลาลงคะแนนเสียงทั้งสิ้น 44 วัน โดยพรรค BJC จ่อคว้าชัยชนะ โดยนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อเนื่องจาก BJP มีแนวโน้มจะเป็นผู้ชนะตามคาดส่งผลให้นโยบายมีความต่อเนื่อง
หุ้นจีน: ข่าวดีในภาคการผลิตส่วนใหญ่ของจีนมาจากอุตสาหกรรม “new three” หรือสามอุตสาหกรรมใหม่ ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่ อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงอยู่ระดับเดิมและยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 4.7%YoY ในไตรมาส 1 ปี 2024 อีกทั้ง ความคาดหวังของตลาดที่ต่ำบวกกับ valuation ที่อยู่ในระดับน่าสนใจ อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนเห็นการฟื้นตัวขึ้นสูงกว่าที่คาดในปี 2024 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เร่งตัวขึ้น ปัจจุบัน ดัชนี HSI ซื้อขายที่ P/E 10.8 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี โดยมีการคาดการณ์เติบโตของกำไรต่อหุ้นที่ 5.66% YoY ในปี 2024 และ 7.14% YoY ในปี 2025 ตามลำดับ สำหรับดัชนี CSI300 นักวิเคราะห์มีการปรับคาดการณ์เติบโตของกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 15.64%YoY ในปี 2024 และ 13.66%YOY ในปี 2025 อย่างไรก็ตาม ภาคอสังหา ฯ ยังคงฉุดรั้งเศรษฐกิจจีน ตามข้อมูลของ NBS การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในจีนลดลง 9.5% YoY ในไตรมาส 1 ปี 2024 ขณะที่ยอดขายอสังหา ฯ ใหม่ลดลง 27.6% YoYแม้รัฐบาลท้องถิ่นได้มีการยกเลิกข้อจำกัดบางประการในการขายที่ดิน และ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว จีนได้ประกาศขั้นตอนสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการลดอัตราส่วนของเงินดาวน์สำหรับซื้ออสังหาริมทรัพย์ และยกเลิกดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านขั้นต่ำ และอนุมัติรัฐวิสาหกิจสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ขายไม่ออกจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และแปลงเป็นที่อยู่อาศัย และมีการให้วงเงินสินเชื่อ 3 แสนล้านหยวน ซึ่งอาจส่งผลให้มีการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์มูลค่า 5 แสนล้านหยวนหรือคิดเป็น 0.4% ของ GDP ของประเทศ ความมุ่งมั่นเชิงนโยบายที่เพิ่มมากขึ้นเป็นประเด็นที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามอง และยังเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในจีน
สินทรัพย์ทางเลือก: ราคาของสินทรัพย์ REITs อ่อนตัวลงตั้งแต่ต้นปี 2024 หลังจากทำผลงานได้ดีในไตรมาส 4 ปี 2023 เนื่องจากนักลงทุนมีการประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายใหม่อีกครั้งจากข้อมูล CPI สหรัฐ ฯ ที่ออกมาแข็งแกร่ง โดย REITs ยังมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากการไหลเข้ามาของเงินจากกองทุนตลาดเงินที่มีอยู่ในปัจจุบันถึง 6 ล้านล้านเหรียญทั่วโลก ซึ่งได้รับผลตอบแทนมากถึง 5% จากการถือหนี้รัฐบาลสหรัฐ ฯ ระยะสั้นในปัจจุบัน หากตลาดเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปในทิศทางเดียวกัน สินทรัพย์ REITs และ สินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานจะได้รับประโยชน์ เนื่องจากนักลงทุนจะต้องแสวงหาโอกาสในการเพิ่มผลตอบแทน
ตลาดเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล - ฮามาสมากขึ้น ซึ่งขยายไปถึง อิหร่าน ปากสถาน เลบานอน ซีเรีย และอิรัก การขนส่งสินค้าและพลังงานในช่องแคบฮอร์มุซ ทะเลแดง และคลองสุเอซที่หากหยุดชะงัก อาจทำให้เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะวิกฤต ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไปกว่า 90 ดอลลาร์/บาร์เรล ในเดือนเมษายน เนื่องจากอิหร่านตอบโต้การโจมตีของอิสราเอลในซีเรียก่อนที่จะผ่อนคลายลง ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีของยูเครนได้ทำลายกำลังการกลั่นน้ำมันของรัสเซียถึง 16% ทั้งนี้ ชาวยูเครนยังได้รับการสนับสนุนจากแพ็คเกจความช่วยเหลือมูลค่า 60 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันดิบจะพุ่งขึ้น อาจส่งผลให้เงินเฟ้อมีโอกาสปรับสูงขึ้น รวมถึงในส่วนของเงินเฟ้อพื้นฐานในทางอ้อมด้วยเช่นกันหากสถานการณ์ยังยืดเยื้อ
เรายังคงแนะนำการถือครองตราสารหนี้ในกรอบระยะเวลาการลงทุน 6 – 12 เดือนข้างหน้า และขณะตลาดขาขึ้นตราสารทุนยังคงแข็งแกร่งจากแรงหนุนของแนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียน โดยเราแนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตการลงทุนที่ผสมผสานกลยุทธ์ทั้ง Strategic Asset Allocation (SAA) และ Tactical Asset Allocation (TAA) เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีที่สุดในทุกสถานการณ์
อรุณ ปาวา
IP, FM, IA, ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ที่ปรึกษาทางการเงิน Investment Strategist
ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)